March 25, 2019

บทความนี้ถูกเขียนขึ้นก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 บริการ เส้นทาง และรายละเอียด อาจไม่ตรงกับสถานการณ์ปัจจุบัน

อย่างที่หลายคนน่าจะรู้ว่าการเดินทางบนเครื่องบินนาน ๆ ไม่ใช่เรื่องสนุก โดยเฉพาะในเส้นทางยาว ๆ ซึ่งในครั้งนี้ผมบินไปร่วมงานประชุมเกี่ยวกับอวกาศที่ MIT (สถานทูตสหรัฐอเมริกา สนับสนุนเที่ยวบินและค่าใช้จ่ายให้) ตอนไปก็นั่ง Economy ธรรมดา ๆ นี่แหละ พอขึ้นเครื่องก็รีบกินข้าวกินไวน์ให้หลับยาว ๆ (แต่ก็ไม่หลับ)

โชคดีที่ JAL มี WiFi บนเครื่องที่ราคาถูกมาก ๆ ตลอด 7 ชั่วโมงจากกรุงเทพไปนาริตะ และจากนาริตะไปบอสตัน ใช้เวลาประมาณ 24 ชั่วโมงรวมเปลี่ยนเครื่อง แต่ก็สามารถซื้อ WiFi Unlimited เวลา 24 ชั่วโมงได้ในราคาประมาณ 600 บาท ซึ่งถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับสายการบินอื่น ๆ ที่ขายเป็น MB ซึ่งจำกัดการใช้งานด้วย

แต่ขากลับ หลังจากที่เช็คอินที่เคาเตอร์ของ JAL พนักงานก็บอกว่าจะอัพเกรดชั้นให้ฟรี ตอนนั้นก็คิดว่าฟังผิด แต่พอพิมพ์ตั๋วออกมาก็ได้เป็น Premium Economy ด้วย ถือว่าโชคดีมาก ๆ เพราะเพิ่มความสบายมาอีกนิดนึง

ซึ่งฟีเจอร์ที่ทาง Japan Airlines ได้อวดอ้างสรรพคุณไว้ให้กับที่นั่ง Premium Economy ของตัวเองก็คือ

  • มี Legroom ที่เยอะกว่า นั่งได้สบายกว่า ไม่ติดเบาะด้านหน้า
  • เบาะนั่งมีความกว้างมากกว่า และเรียงแถวแบบ 2-3-2
  • มีที่รองน่องที่ยื่นออกมาได้ และสามารถปรับเอนได้เยอะกว่า นอนได้สบายขึ้น
  • มีหมอนและผ้าห่มที่มีคุณภาพ
  • มี Amenities ต่าง ๆ ให้ ตั้งแปรงสีฟัน หน้ากากอนามัย ผ้าปิดตา รองเท้าแตะ
  • หูฟังเป็นแบบ Noise-cancelling ตัดเสียงรบกวน ใช้ยี่ห้อ Sony
  • เสิร์ฟแชมเปญ (เข้าใจว่า Japan Airlines แทบจะเป็นเจ้าเดียวในโลกที่เสิร์ฟแชมเปญในชั้น Premium Economy)

และด้วยความที่เป็น Premium Enonomy นั้น ทำให้เราสามารถเข้าเลาจน์ได้ฟรี แต่ที่บอสตันไม่มีเลาจน์ของ JAL เราจึงต้องเข้าเลาจน์ของ British Airway ซึ่งอยู่ในเครือ One World เหมือนกันแทน แต่ก็ถือว่าเป็นเลาจน์ที่ดีเลยทีเดียว

เลาจน์ British Airways ที่ Boston Logan International Airport

เลาจน์ของ Birish Airways อยู่ใกล้ ๆ กับ Gate ขึ้นเครื่องพอดีใช้เวลาเดินไม่ถึงนาที ทำให้สามารถเข้าไปใช้่บริการได้ยาว ๆ ไม่ต้องกลัวจะตกเครื่อง แถมในเลาจน์ยังมีการประกาศเวลาและเที่ยวบินต่าง ๆ ในกรณีที่เราเพลินลืมดูเวลาด้วย

สำหรับเลาจน์ของ British Airways นั้นก็มีเกี๊ยวซ่า กับข้าวต่าง ๆ ให้เลือกกินกันอยู่บ้าง อาจจะไม่ได้มีอาหารชุดใหญ่แบบกินกันเอาอิ่ม แต่ผมกินข้าวไปแล้ว (ไม่น่าเลย ใครจะไปรู้ว่าจะได้อัพเกรด) ก็เลยเอาเกี๊ยวซ่ากับผลไม้ + ชีส มาทานเล่นแทน

ปกติแล้วเลาจน์สายการบินต่าง ๆ จะมีไวน์และเครื่องดื่มให้บริการ Sparkling Wine เป็นไวน์จากอิตาลี่ ไม่ได้เป็นแชมเปญ แต่รสชาติก็อร่อยมาก ๆ เมื่อทานคู่กับชีสและผลไม้ที่มีให้

แต่ไม่ต้องตกใจไป ทริปนี้เราได้ดื่มแชมเปญแน่นอนบนเครื่องบิน เพราะปกติแล้ว JAL จะเสิร์ฟแชมเปญบนเครื่องบินในชั้น Premium Economy, Business และ First Class อยู่แล้ว

บริเวณเลาจน์ของ Birtish Airways นั้นค่อนข้างกว้างขวางและมีพื้นที่เยอะ สามารถรองรับคนได้มากพอสมควร มีโซนต่าง ๆ และมีห้องอาบน้ำให้ด้วยสามารถอาบน้ำก่อนบินได้

หลังจากที่พักผ่อนเรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงเวลาเราก็เดินจากเลาจน์ไปยังเครื่องบิน ซึ่งอย่างที่บอกว่าใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีเท่านั้น เมื่อไปถึงก็สามารถขึ้นเครื่องพร้อมกับ Business Class ได้เลย (บนเครื่อง 787 นี้จะมีแค่ Business และ Premium Economy เท่านั้น ไม่มี First Class)

เครื่องบินที่ JAL ใช้ในเที่ยวบินนี้เป็น 787-8 ที่มีชั้นเป็น Business กับ Premium Economy ปาเข้าไปครึ่งลำที่เหลือเป็น Economy อาจจะเพราะว่าเที่ยวบินยาวกว่า 13 ชั่วโมงยังไงคนก็น่าจะอยากบินสบาย ๆ มากกว่า

รีวิวที่นั่ง Premium Economy บน 787-8 Japan Airlines

เมื่อเข้ามาในเครื่องบินก็พบกับที่นั่งที่กว้างมาก ๆ ระยะห่างระหว่างเก้าอี้อยู่ที่ประมาณ 107 เซนติเมตร ถ้าอยากรู้ว่ากว้างแค่ไหน ให้นึกภาพว่ามันคือ Business Class ของการบินไทยนั่นแหละ แต่ JAL นับแค่เป็น Premium Economy แม้ว่าที่นั่งจะปรับนอนไม่ได้ แต่ตัวเก้าอี้เองก็สามารถปรับเอนได้ในระดับที่สบาย และมีที่รองขาให้สามารถนอนตัวตรงได้เพียงแต่ว่าไม่ได้ขนานกับพื้นเท่านั้น

เป็นปกติที่ JAL จะมีหมอนและผ้าห่มให้ ซึ่งก็มีให้ในทุกชั้น แต่สิ่งที่ให้มาพิเศษก็คือ Aminities Kits ซึ่งมาในถุง อันนี้สามารถเก็บกลับบ้านได้ ข้างในก็จะมี หน้ากากไว้ใส่ไม่ให้ปากและจมูกแห้ง มีที่ปิดตา มีที่แปรงฟัน และที่อุดหู

ในขณะที่หูฟังที่ JAL เลือกใช้ก็เป็นหูฟัง Sony มีระบบตัดเสียงรบกวน ทำให้ไม่ต้องกลัวว่าจะนอนไม่สบายหรือรำคาญเสียงเครื่องยนต์ ซึ่งปกติ 787 เสียงเครื่องก็เบาอยู่แล้ว แต่พอใช้หูฟังตัดเสียงรบกวนแล้ว ก็ถือว่าสบายมาก ๆ และตัวหูฟังก็ไม่เจ็บหู สามารถปรับให้เข้ากับหัวของเราได้

หน้าจอของระบบความบันเทิงในเครื่องนั้นเป็นจอที่ใหญ่พอสมควรและเป็น Touch Screen แต่ถ้าเอื้อมไม่ถึงก็จะมี Remote ให้ติดอยู่ข้าง ๆ เก้าอี้ ตรงนี้เป็นจอที่มีระบบกันเสือก เราอาจจะไม่อยากให้ที่นั่งข้าง ๆ รู้ว่าเราดูหนังอะไรอยู่ซึ่งจอนี้ออกแบบมาให้เห็นได้เฉพาะจากมุมตรงที่เรานั่งเท่านั้น ไม่ต้องเขินที่นั่งข้าง ๆ ว่าโตเป็นควายแล้วแต่เปิดโคนันดู

พอเครื่องขึ้น Flight Attendence ก็เดินมาแจกผ้าร้อนไว้ให้เช็ดมือเช็ดแขน ตรงนี้ชอบมากเพราะทำให้มือเราไม่แห้ง พร้อมกับกล่าวต้อนรับซึ่งเป็นภาษาญี่ปุ่นฟังไม่ออก ซึ่งตรงนี้ชอบมากเพราะแม้จะเป็นคนละชนชาติ แต่ด้วยความเป็นเอเชียนเหมือนกันทำให้เราเข้าใจอวจนภาษาที่เขาพยายามจะสื่อ เช่น การโค้ง การยิ้ม การโน้มหัว ทำให้เราสามารถให้เกียรติกันและกันได้ด้วยการยิ้มและโค้ง

แจกผ้าร้อนได้ซักพัก ทาง JAL ก็แจกขนมกับน้ำให้ตามปกติ แต่สิ่งที่ติดมาด้วยเลยก็คือเมนูอาหาร ซึ่งในเที่ยวบินนี้ จะเสิร์ฟอาหารทั้งหมด 2 มื้อคือหลังเครื่องขึ้นประมาณ 1 ชั่วโมง และก่อนเครื่องลงประมาณ 2 ชั่วโมง ระหว่างมื้ออาหารก็จะปิดไฟให้นอนหลับ แต่ถ้าใครนอนไม่หลับ Flight Attendence ก็จะเดินเสิร์ฟขนมเรื่อย ๆ ซึ่งเราสามารถขอได้จากเมนูด้านล่างนี้เลย และถ้าหิว เราจะสามารถขอบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากินได้ ทาง Flight Attendence เขาก็จะไปต้มมาให้ จะขอชาเขียว น้ำผลไม้ หรือน้ำอัดลมก็ได้ตลอดทั้งเที่ยวบิน

เมื่อถึงมื้อหาหาร ทาง Flight Attendence ก็จะยกอาหารมาให้ซึ่งอาหารจะมาในถาดเหมือนชั้น Economy ปกติ แต่จะมีของกินพิเศษที่ unlocked สำหรับผู้โดยสารชั้น Premium Economy ขึ้นไปก็คือแชมเปญ และ น้ำแร่แบบซ่า ๆ ซึ่งแชมเปญนั้นก็เป็นแชมเปญแบบจริง ๆ ที่มาในขวดแก้วขนาดเล็ก แต่เสียดายที่ต้องใช้แก้วพลาสติก ไม่ได้แก้วไวน์ (ต้องเป็น Business จะเสิร์ฟในแก้วไวน์)

สำหรับอาหารนั้นรสชาติพอทานได้ ไม่ได้อร่อยขนาดนั้น แต่ก็มีความหลากหลายดี มือแรกเป็นพาสต้าไก่ มีเครื่องเคียงเป็นแซลม่อนรมควัน ไข่หวานญี่ปุ่น โซบะ และสลัดผัก ปิดท้ายด้วยไอติมยี่ห้อ Häagen-Dazs ที่หลายคนชื่นชอบ

ระหว่างมืออาหาร Flight Attendence ก็จะเดินมาเทซุปมิโซะให้ สามารถซดร้อน ๆ ก็ทำให้สดชื่นระหว่างเที่ยวบินได้ดีเหมือนกัน ใครที่กินอาหารญี่ปุ่นบ่อย ๆ อยู่แล้วอาจจะชอบเพราะรสชาติชินปาก

ระหว่างนี้อย่างที่บอกไปว่านอนไม่หลับ เพราะนอนที่อเมริกามาเยอะมากเลยนั่งดูหนังและเล่นอินเทอร์เน็ต ซึ่งอินเทอร์เน็ตบน JAL นั้นใช้งานได้ดีมาก ๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าจะให้ความเร็วเหมือนบนพื้นคงเป็นไปไม่ได้ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เราไม่เหงา ได้ติดต่อกับเพื่อน ๆ หรืออัพรูป อัพ IG พิมพ์งาน คุยเมลต่าง ๆ ได้อย่างไม่ขาดหายไปไหน

ราคาของบริการ WiFi บน JAL นั้นเมื่อเทียบกับสายการบินอื่นถือว่าถูกมาก ๆ อยู่ที่ประมาณ 600 บาท แต่สามารถเล่นได้ 24 ชั่วโมง หรือใครที่บินเที่ยวสั้นกว่านี้ราคาก็จะลดลงตามไปถูกสุดอยู่ที่ประมาณ 300 กว่าบาทเท่านั้นเอง ซึ่งคิดตามเวลาเชื่อมต่อ ไม่ได้คิดตาม Data ที่ใช้ ดังนั้นจะอัพรูปหรือเล่น IG อะไรที่ใช้ Data เยอะ ๆ ก็ไม่ต้องห่วง

ระหว่างเที่ยวบิน ถ้าหิว Flight Attendence ก็จะเดินมาเสิร์ฟบะหมี่ ซึ่ง JAL เลือกใช้บะหมี่ของนิชชิน ซึ่งคงไม่ต้องให้บอกว่าอร่อยและเส้นนุ่มมาก ๆ ตอนแรกจะขอซัก 2 ถ้วย แต่อย่าลืมว่ามีมื้อก่อนเครื่องลงอีก เดี๋ยวอิ่มเกินไป

สำหรับมื้อก่อนเครื่องลงนั้นเป็นข้าวอบกับเห็ด ซึ่งข้าวนี้หอมมาก ๆ เพราะเข้าใจว่าใช้วิธีการอบแทนการผัด มื้อนี้เป็นมื้อเล็กหน่อยไม่อลังเท่ามื้อแรก แต่ก็อร่อยมาก ๆ และมีผลไม้ Cracker และชีสให้เป็นก้อน ๆ มีซุปมิโซะให้เหมือนเดิม และปิดท้ายด้วยโยเกิร์ต

และสุดท้ายก็เดินทางมาถึงที่หมายเรียบร้อย จบเที่ยวบิน 13 ชั่วโมงที่ก็ไม่ได้สบาย แต่ก็ไม่ได้ลำบากเท่า Economy Class ปกติ ซึ่งแนะนำว่าใครที่เดินทางอยากสบาย ๆ ตัวเลือกของ Premium Economy ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจเพราะอย่างน้อยเราก็ได้บริการระดับ Business Class และได้ใช้บริการเลาจน์อาบน้ำก่อนหรือระหว่างต่อเครื่องได้ (การอาบน้ำระหว่างต่อเที่ยวบินคือความฟินอย่างหนึ่ง)

สรุปสิ่งที่ชอบเกี่ยวกับ Premium Economy ของ Japan Airlines เลยก็คือ ไม่ได้เป็น Premium หลอก ๆ ที่เอาที่นั่งของ Economy มาขายในราคาแพงกว่าเดิมแล้วขายแบบตัวเว้นตัว หรือเสิร์ฟอาหารที่ดีขึ้น แต่เป็นการออกแบบเก้าอี้และการจัดเรียงแบบใหม่ ทำให้ได้ความรู้สึกว่าเป็นชั้น Business มากกว่า Economy และให้ความรู้สึกว่า Economy บน 787-800 เป็น First Class มากว่า เพราะที่นั่งช่างอลังเหลือเกิน

แต่ก็ยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงเล็กน้อยคือแก้ว รู้สึกสิ้นเปลืองเหลือเกินเพราะใช้แก้วพลาสติกอยู่ ในขณะที่ Thai Smile Plus ทำ Premium Econnomy แต่ใช้แก้วจริง ๆ มาเสิร์ฟน้ำ ซึ่ง JAL เอาแก้วพลาสติกมาเสิร์ฟแชมเปญก็อาจจะรู้สึกขัด ๆ เล็กน้อย

โดยรวมถือว่าดีมาก ๆ และทำให้การเดินทางยาว 13 ชั่วโมงสบายขึ้นมานิด ๆ หวังว่าโอกาสหน้าจะได้มารีวิวในชั้นที่สูงกว่านี้ขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ เพราะบินไปบินมาตอนนี้ไมล์ของฝั่ง One World ขึ้นแซงหน้า Star Alliance ไปเรียบร้อยแล้ว 555