October 11, 2018

จริง ๆ แล้วกรุงเทพนั้นถือว่าเป็นเมืองที่มีอาคารสูงเยอะมากในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งใครที่อยู่กรุงเทพควรหาโอกาสขึ้นมาชื่นชมความเป็นมหานครซักครั้ง

หาเรื่องใส่ตัวอีกแล้วหลังจากที่ได้ไปลอง Red Sky Bar ซึ่งเป็น Bar Rooftop อีกแห่งนึงที่มีชื่อเสียงในย่านราชประสงค์ วันนี้เรามาลองที่เขาบอกว่าเป็นที่สุดที่สูสีกับ Vertigo Moon Bar, Lebua และ Octave ว่าเป็นบาร์ที่สวยที่สุดในกรุงเทพ นั่นก็คือที่สุดแห่งที่สุดบนยอด Centara Grand at Central World นั่นก็คือ Cru Champagne Bar at Red Sky

สำหรับ CRU Champagne Bar ตั้งอยู่ที่ชั้น 59 และต้องต่อลิฟท์ขึ้่นมาอีกจนถึงดาดฟ้ายอดสุดจริง ๆ อยู่เหนือร้านอาหาร Unomas และ Red Sky ชั้น 55 ขึ้นมาอีก ถ้าดูจากด้านล่างเราจะเห็นว่ามันไม่มีอะไรบดบังสายตาเลย นั่นทำให้ถ้าขึ้นมาบนนี้ เราจะได้เห็นวิวแบบ 360 องศากันเลยทีเดียว ไม่เหมือน Red Sky ที่จะต้องเดินวนรอบ ๆ อาคารถึงได้เห็นวิวโดยรอบ

สำหรับการเดินทาง เราก็กดลิฟท์จากตัว Centara Grand ขึ้นมาที่ Sky Lounge รอบนึงก่อน จากนั้นก็ต่อลิฟท์ขึ้นมาถึง Redsky ชั้น 55 แค่ประตูลิฟท์เปิดออกมาก็จะมีพนักงานมาต้อนรับ เราก็บอกพนักงานไปได้เลยว่ามา Cru พนักงาน Redsky จะส่งต่อเราไปให้พนักงานของ Cru ดูแลต่อ และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของความพีค

พนักงานพูดไทยไม่ได้เลยจ้า พนักงานที่เราเจอเป็นต่างชาติหมดเลย ดังนั้นทุกประโยคสนทนาบนนั้นจะเป็นภาษาอังกฤษหมด แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคเพราะพนักงานทุกคนเรียกเราและเพื่อนว่า Sir and Madame (เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่ถูกเรียกแบบนี้ ครั้งแรกคือตอนได้เมลเชิญไปงานจากสถานทูต)

พนักงานจะพาเราขึ้นลิฟท์มายังชั้นบนสุด ซึ่งเธอก็เป็นมิตรมาก ๆ ยิ้มตลอดและบริการอย่างนอบน้อม พอลิฟท์เปิดเธอก็พาเราเดินออกมาไปยังดาดฟ้า และความมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น แม้เจ้า! มันเห็นแบบ 360 องศาจริง ๆ อย่างที่บอกไปว่าไม่มีตึกบังเลย แทบจะเห็นออกไปถึงอ่าวไทย

บรรยากาศบนนี้จะเป็นแบบ 2 โซนคือโซนโต๊ะสูงกับโซนโซฟา ซึ่งเวลาที่เราไปกันคือประมาณ 5 โมงครึ่งเพราะต้องการชมพระอาทิตย์ตกดิน เป็นช่วงที่ยังไม่มีคนมาเยอะจึงสามารถยึดโซฟาสำหรับ 4 คนมานั่ง 2 คนได้อย่างสบาย ๆ ในโซนที่เป็นส่วนตัวพอสมควรไม่ต้องมายุ่งกับใคร ตอนแรกเราก็เข้าใจว่าต้องจองก่อนหรือเปล่า แต่ถามพนักงานเธอก็บอกว่าไปนั่งได้เลย พร้อมกับหยิบ iPad มา (เมนูที่นี่ดูผ่าน iPad)

ระหว่างที่เรากำลังเลือกเมนูใน iPad อยู่ก็มีพนักงานผู้ชายอีกคนเอาทิชชู่ที่เราก็ไม่รู้ภาษาไทยเรียกอะไร แต่จะชอบเห็นบนเครื่องบินที่พอเอาน้ำเทใส่แล้วมันจะพองออกมากลายเป็นผ้าสำหรับเช็ดมือเช็ดแขนได้ มาบริการเป็น Complementary ให้ (จงอ่านต่อไปแล้วจะรู้สึกว่าที่นี่แม่ง Complementary เยอะเหลือเกิน)

มาดูที่อาหารกันก่อน อาหารที่เราสั่งมาเป็น มันฝรั่งทอดซึ่งเป็นมันฝรั่งแบบไม่กรอบดังนั้นจะไม่อมน้ำมัน แล้วก็มีตัวเบอร์เกอร์ที่ตอนแรกอาจจะดูเหมือนเบอร์เกอร์โง่ ๆ ธรรมดาแต่จริง ๆ แล้วเป็นเนื้อวากิว (สุดยอดมาก) แล้วก็มีไก่ย่างที่ย่างแบบยกมาทั้่งเตาถ่านเลย เนื้อไก่จะนิ่มเป็นพิเศษเหมาะสำหรับกินกับแชมเปญ

นอกเหนือจากอาหารที่สั่งแล้วพนักงานยังยกถั่วนานาชนิดและของกินเล่นมาให้เป็น Complementary อีกชุดนึง ซึ่งเราสามารถขอใหม่ได้เรื่อย ๆ บางทีมากันหลายคนแล้วกินกันเพลิน

หลังจากที่ดูเมนูไปซักพักก็สั่งเครื่องดื่ม ตอนแรกอยากลองสั่งเป็น MUMM No. 1 Pink Champagne ที่เขาบอกว่าพอเทออกมาแล้วจะเหมือนทรายสีชมพูบนชายหาดที่สะท้อนแสงอาทิตย์ แต่มันจะเวอร์วังไปบวกกับกลัวนั่งไม่ได้นาน (ฮา) เลยสั่งเป็น Mojito ธรรมดา ๆ ซึ่งภายหลังมาแอบเสียดายว่าขึ้นไปถึงที่นั่นแล้ว ทำไมไม่สั่งเพราะก็เพิ่งรู้ว่ามีให้ลองที่ Cru ที่เดียวเท่านั้นในประเทศไทย

เพื่อนเราสั่งชะลอมอะไรซักอย่างไป ซึ่งรสชาติเหมือนยาแก้ไอเด็กมาก แต่มาถึงบนนี้แล้วก็เลยอยากลองอะไรแปลก ๆ ซักหน่อย ถือว่ากล้าพอสมควรเมื่อเทียบกับเราที่สั่ง Mojito ที่แสนจะหากินได้ง่าย

แต่ก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะ Mojito มันก็ไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น พนักงานบอกว่าคอกเทลทุกตัวก็จะใช้เบส (ในการผสมคอกเทลจะต้องมีเหล้าที่เป็นเบสแล้วค่อยปรุงให้หวานขึ้น) เป็นแชมเปญของ G.H. Mumm champagne ซึ่งทาง Cru ก็ได้เอาขวดมาตั้งโชว์ไว้ด้วย ก็คือว่าเป็นบุญที่ได้ลองชิมเครื่องดื่มที่มาจาก G.H. Mumm ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับโลกจากฝรั่งเศส

อันที่จริงแล้ว Cru Bar แห่งนี้นับว่าเป็นบาร์ที่อยู่ภายใต้การกำกับของ G.H. Mumm จากทางฝรั่งเศส ดังนั้นเครื่องดื่มหลาย ๆ อย่างจะค่อนข้างได้มาตรฐานและรักษาความเป็นต้นตำรับของ G.H. Mumm ได้เป็นอย่างดี

นึกได้เล่น ๆ ว่าอยู่กลางแจ้งแบบนี้ถ้าเกิดฝนตกจะทำยังไง พนักงานก็บอกว่าจะพาลงไปนั่งที่ Unomas ด้านล่าง ไม่ต้องกลัว (เออ อันนี้ดีจริง เพราะ Unomas ก็วิวดีไม่แพ้กัน แถมยังเป็นกึ่ง ๆ Outdoor ด้วยไม่เสียบรรยากาศมาก)

ความสวยงามของสถานทีแห่งนี้จะเริ่มเข้ามาจากท้องฟ้าสีฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงและมืดลง พนักงานจะค่อย ๆ เดินมาจุดตะเกียงไฟแต่ละโต๊ะ ซึ่งบนนี้เขาใช้ตะเกียงจริง ๆ ไม่ได้เป็นไฟ LED เหมือน Red Sky ด้านล่าง ก็จะสัมผัสได้ถึงการสั่นไหวของเปลวไฟล้อไปกับไฟ LED ที่ฉายขึ้นฟ้าของ Cru

ถ้ามองไปทางทิศใต้เราจะเห็นถนนอังรีดูนังต์ทอดยาวไปบรรจบกับถนนพระราม 4 มีตึกสูงย่านสาธรอย่าง มหานคร สเตททาวเวอร์ และตึกฝั่งธนบุรีอย่างแมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์ไอคอนสยามอยู่ด้านหลัง และถ้ามองไกลไปอีกเรื่อย ๆ ก็จะเป็นสำนักงานใหญ่ K-Bank และถ้ามองไปไกลอีกก็เลยลงอ่าวไทยไปเลย!

สำหรับการดูแลของพนักงานที่นี่นับว่าที่สุดของที่สุด พนักงานจะคอยยืนดูเราห่าง ๆ โดยจะรับรู้ทันทีเมื่อเราต้องการอะไร จริง ๆ แล้วบทสนทนาที่เราคุยกันตอนนั้นเป็นเรื่องซีเรียสเราจึงไม่ค่อยยิ้มกันเท่าไหร่ จึงเดือดร้อนพนักงานเดินมาถามว่าไม่พอใจบริการอะไรหรือเปล่า ต้องการอะไรเพิ่มไหม (ฮามาก) ก็บอกไปว่าไม่ใช่ เราคุยเรื่องจริงจังกันเฉย ๆ แล้วก็หัวเราะ

หลังจากที่ชมวิวและทานของกินเล่นกันพออิ่มแล้วก็ได้เวลาคิดค่าเสียหาย ซึ่งค่าเสียหาย 2 คนก็ออกมาอยู่ที่สามพันกว่าบาท ถือว่าโหดมาก! แต่ถามว่าสมเหตุสมผลไหมก็โคตรจะสมเหตุสมผล เพราะบริการทุกอย่างไม่มีอะไรให้ติเลย พนักงานยังเดินมาถามตลอดว่าเครื่องดื่มโอเคไหม อาหารอร่อยไหม และแทบจะคลานเข่าเข้ามาหาเราทุกครั้ง ถือว่าเป็นการแลกกับประสบการณ์สุดพิเศษที่หาไม่ได้บ่อย ๆ นี้ก็คุ้มแล้ว

ความประทับใจมันติดมาจนถึงทางลงเลยทีเดียว เพราะมันสวยมาก แต่ก็ได้เวลาลงลิฟท์และบอกลาสถานที่สุดพิเศษบนท้องฟ้าเหนือกรุงเทพมหานครที่ชื่อว่า Cru Champagne Bar และหวังว่าจะได้กลับมาอีก (แต่ขอไม่เป็นคนจ่ายเงินแล้วนะไม่ไหว ใครก็ได้พามาเลี้ยงที ฮ่า ๆ)

สำหรับ Cru Champange Bar เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 17.00 – 01.00 สามารถนั่งกันยาว ๆ ได้ แต่ขออย่างเดียวคือต้องใส่ชุดสุภาพหน่อย ไม่ต้องถึงกับสูทแต่ไม่เอารองเท้าแตะหรือเสื้อกล้ามหรือกางเกงขาสั้นสำหรับผู้ชาย บอกได้เลยว่าต้องมาลองสักครั้งกับบรรยากาศแบบนี้